วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 4

ตอบคำถามต่อไปนี้ (1-3 พ.ร.บ.ภาคบังคับ, 4 พ.ร.บ.บริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ)

1.เหตุผลทำไมต้องประกาศพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545
                ตอบ  เพราะพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 ได้กำหนดไว้ว่าพ่อ แม่ หรือผู้ปกครองจะต้องดูแลให้ลูกหลานหรือบุตรของตัวเองได้รับการศึกษาตามที่กำหนดไว้ให้ในกฎหมายซึ่งมีการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปีดังนั้น บุตรและลูกหลานจะต้องได้รับการศึกษาอย่างถูกกฎหมาย

2.ท่านเข้าใจความหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 อย่างไร
         ก. ผู้ปกครอง   ข.เด็ก   ค.การศึกษาภาคบังคับ   ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
                ตอบ         ก. ผู้ปกครอง    คือ ผู้ที่ใช้อำนาจหรือผู้ที่เด็กอยู่ด้วยเป็นประจำ
                                ข.เด็ก   คือ เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปี ถึง 16 ปี 
                                ค.การศึกษาภาคบังคับ  คือ การศึกษาภาคบังคับตั้งแต่การศึกษาชั้นปีที่ 1 ถึง 
การศึกษาชั้นปีที่ 9 ตามการศึกษาขั้นพื้นฐาน
                                ง. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การการปกครองที่มีสถานศึกษาอยู่ในสังกัดของการปกครองหืออยู่ในเขตพื้นที่นั้น

3.กรณีผู้ปกครองไม่ส่งเข้าเรียนตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดจะต้องถูกลงโทษอย่างไร และถ้าเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาใครจะเป็นผู้มีอำนาจในการผ่อนผันเด็กเข้าเรียน
                ตอบ กรณีผู้ปกครองไม่ส่งเข้าเรียนตามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดจะต้องถูกลงโทษโดยการต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1000 บาท และถ้าเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาจะต้องแจ้งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นผู้มีอำนาจในการผ่อนผันเด็กเข้าเรียน

4. ให้นักศึกษาสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการอ่านพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ มีทั้งหมด 21 ข้อ
               ตอบ สรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการอ่านพระราชบัญญัติระเบียบบริหารการกระทรวงศึกษาธิการได้ว่า พระราชบัญญติได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้การปฏิบัติงานซ้อนกันและจำเป็นที่จะต้องจัดระบบบริหารราชการในระดับต่างๆ ของกระทรวงให้มีเป็นหนึ่งเดียวกัน สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ตามที่ได้กำหนดไว้

 1. อำนาจหน้าที่กระทรวงการศึกษากำหนดไว้ในกฎหมาย 
                ตอบ  . พรบ. ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ 
2. ข้อใดคืออำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ 
                ตอบ  ก.จัดการศึกษา
 3. การจัดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการจัดได้เป็น 3 ส่วน 
                ตอบ  . ส่วนกลาง เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาของรัฐระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคล 
 4. การกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือนของข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการให้คำนึงถึงข้อใด
                ตอบ   . ข้อ ก และ ข 
5. บทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะต้องดำเนินการตาม พรบ. นี้คือข้อใด
                ตอบ  ง. ข้อ ก และ ข 
6. ข้อใดคือการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง
                ตอบ  ง. ถูกทุกข้อ
7. ส่วนราชการส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการตามข้อใดที่ไม่เป็นนิติบุคคล
                ตอบ  ก. สำนักงานรัฐมนตรี
8. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ
                ตอบ  ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
9. ข้อใดไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของสภาการศึกษา
                ตอบ   ค. ประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน10. ใครเป็นประธานคณะกรรมการสภาการศึกษา
                ตอบ  ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
11. คณะกรรมการชุดใดที่กำหนดตำแหน่งประธานกรรมการไว้ในพรบ.นี้
                ตอบ  . คณะกรรมการสภาการศึกษา
12. ใครทำหน้าที่รับผิดชอบงานเลขานุการของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 
                ตอบ  . สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  
13. บุคคลใดต่อไปนี้เป็นข้าราชการการเมือง
                ตอบ  ข้อ ข. และ ค.14. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ
                ตอบ  . ติดตาม ประเมินผลนโยบายตามภารกิจ 
15. หน่วยงานระดับใดสามารถมีผู้ตรวจราชการได้
                ตอบ   . ถูกทุก
16. ข้อใดคือบทบาทของคณะตรวจราชการในระดับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
                ตอบ   . ศึกษา วิเคราะห์วิจัย นิเทศติดตามและประเมินผลการบริหารและการดาเนินงาน
17. ข้อใดคือบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการที่มีต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
                ตอบ  . ถูกทุกข้อ
18. ในกรณีที่สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือการศึกษาระดับอุดมศึกษการะดับ ต่ำกว่าปริญญาได้หน่วยงานใดจะเป็นผู้จัด 
                ตอบ  . สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
19. หน่วยงานอื่นสามารถจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานใดได้บ้างหากสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่สามารถจัดได้ 
                ตอบ   . ถูกทุกข้อ
20. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสานักงานรองจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
                ตอบ  . ข้อ ก. และ ข. 
21. ใครเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการในสถานศึกษาของรัฐในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา
                ตอบ   . เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา 
22. การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้คำนึงถึงสิ่งใดน้อยที่สุด
                ตอบ   . จานวนนักเรียน
23. ใครมีอำนาจประกาศกำหนดเขตพื้นที่การศึกษา
                ตอบ  ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาโดยคำแนะนำของสภาการศึกษา 



วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 3

เมื่อนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

1. นักศึกษาอธิบายคำนิยามต่อไปนี้ ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542
. การศึกษา ข. การศึกษาขั้นพื้นฐาน ค. การศึกษาตลอดชีวิต ง. มาตรฐานการศึกษา
. การประกันคุณภาพภายใน ช. การประกันคุณภาพภายนอก ซ. ผู้สอน  ฌ. ครู
. คณาจารย์ ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา ฒ. ผู้บริหารการศึกษา ณ. บุคลากรทางการศึกษา
                ตอบ        . การศึกษา คือ วิธีการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้ และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและสามารถนำไปใช้ในชีวิตของตนเองได้
                               
. การศึกษาขั้นพื้นฐาน  คือ การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา เช่นการเรียนเตรียมอนุบาล การเรียนชั้นอนุบาล เรียนประถมศึกษา และการเรียนมัธยมศึกษาตามลำดับ
                               
. การศึกษาตลอดชีวิต คือ การศึกษาที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต จะใช้การศึกษาแบบตามอัธยาศัย
                               
. มาตรฐานการศึกษา คือ ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะคุณภาพตามที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบสำหรับส่งเสริมและกากับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา
                                . การประกันคุณภาพภายใน คือ การวัด การประเมินผล การติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษานั้นเอง หรือหน่วยงานต้นสังกัดที่มีหน้าที่กำกับดูแลสถานศึกษาหรือโรงเรียนนั้นๆ
                                . การประกันคุณภาพภายนอก คือ การวัด การประเมินผล การติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาหรือบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกที่สานักงานดังกล่าวรองรับ เพื่อเป็นการประกันคุณภาพ และให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานของสถานศึกษา
                                . ผู้สอน  คือ ครู อาจารย์ในสถานศึกษาต่างๆ ที่มีทุกระดับ
                                . ครู  คือ ผู้ที่ให้ความรู้แก่บุคคลที่มารับความรู้เช่น นักเรียน นักศึกษา
                               
. คณาจารย์ คือ บุคลากรต่างๆที่ทำหน้าที่ ด้านการสอนในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
                                ฐ
. ผู้บริหารสถานศึกษา คือ บุคลากรที่มีความรู้ในด้านการบริหารสถานศึกษา
                               
. ผู้บริหารการศึกษา  คือ บุคลากรที่มีความรู้ในด้านของการบริหารสถานศึกษา
                                ณ. บุคลากรทางการศึกษา
คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา รวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ให้บริการ การปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอน การนิเทศและการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ

2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษานี้อย่างไรบ้างให้อธิบาย
                ตอบ  ความมุ่งหมาย คือ จะเน้นให้พัฒนามนุษย์ในทุกๆด้านของร่ายกายและจิตใจ ซึ่งในหลักการการศึกษาได้กำหนดไว้ว่า จะเป็นการศึกษาตลอดชีวิตของประชาชน และจะทำให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาในทุกๆด้านของการศึกษารวมถึงการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาชีวิตของมนุษย์ในสังคม

3. หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
               
ตอบ  หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วย 3 ประการคือ
                                (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
                                (2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
                                (3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

4. การจัดระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจัดการศึกษา ตามที่กฎหมายกำหนดมีอะไรบ้าง
                ตอบ การจัดระบบโครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนดไว้จะมีดังนี้
                                (1) มีเอกภาพด้านนโยบาย และมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
                                (2) มีการกระจายอำนาจ ไปสู่เขตพื้นที่การศึกษา สถานศึกษาและองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น
                                (3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษา และจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
                                (4) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา และการพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
                                (5) ระดมทรัพยากร จากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา
                                (6) การมีส่วนร่วม ของบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น

5. สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา ที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีอะไรบ้าง
                ตอบ   สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา คือ
                               
1.การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี อย่างทั่วถึง
                                2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์สังคม ผู้ด้อยโอกาสและผู้มีความสามารถพิเศษ มีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
                                3. พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครอบครัวรวมไปถึงองค์กรต่างๆ จะมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่บุตรหลานของตน  ผู้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานมีสิทธิได้รับการสนับสนุนและเงินอุดหนุนจากรัฐ รวมทั้งได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษี ตามที่กฎหมายกำหนด

6. ระบบการศึกษามีกี่รูปแบบแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
                ตอบ ระบบการศึกษา มี 3รูปแบบ คือ
                                1. การศึกษาในระบบคือการศึกษาตามมารตราฐานที่ไว้กำหนดไว้ในกฎหมาย
                               
2. การศึกษานอกระบบ คือ การศึกษาที่เรียนนอกเหนือจากวันเวลาที่กำหนด เช่น การเรียนเสาร์ อาทิตย์
                               
3. การศึกษาตามอัธยาศัย คือ การศึกษาตามอัธยาศัยที่สามารถศึกษาจากที่ไหนก็ได้

7. การจัดการศึกษาในระบบมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
               
ตอบ  การจัดการศึกษาแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
                               
1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ การศึกษาระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
                               
2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา คือ การศึกษาในระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา

8. สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลเป็นอย่างไร
               
ตอบ  สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคล คือ สถานศึกษาที่มีทั้งรัฐและเอกชน

9. แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึดอะไรบ้าง
               
ตอบ แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึด คือ การยึดหลักที่ทุกคนจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ให้ดีที่สุด และต้องให้แต่ละคนสามารถพัฒนาตามความถนัด ความสนใจและเต็มศักยภาพของเขาเอง โดยผ่านการบูรณาการหรือการเรียนรู้แบบผสมผสาน

10. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่กำหนดให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
               
ตอบ  เห็นด้วย เพราะการมีใบประกอบวิชาชีพจะสามารถเชื่อมั่นได้ว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีคุณภาพในการสอนได้อย่างเต็มที่และทำให้บุคคลที่ได้รับการพัฒนาจะนำความรู้ไปพัฒนาตนเองและสังคมได้

11. มีวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่นของท่านได้อย่างบ้าง
               
ตอบ  คือ การรณรงค์เรื่องทรัพยากรในท้องถิ่นให้เห็นถึงคุณค่าที่จะเกิดขึ้นหากเรานำทรัพยากรในท้องถิ่นเหล่านั้นมาพัฒนาการศึกษา ยกตัวอย่างสิ่งเหล่านั้นด้วย



12. การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มีวิธีการพัฒนาได้อย่างไร

                       
ตอบ คือ
 
              
1. การนำสื่อการสิ่งที่มีอยู่แล้วนำมาปรับเปลี่ยนให้มีความทันสมัยมากขึ้นตามเทคโนโลยี
               
2. การนำเทคโนโลยีเข้ามาบูรณาการในการศึกษา เช่น การทำสื่อที่ปริ้นจากคอมพิวเตอร์ ให้สอนเด็ก
               
3.
ให้เด็กเห็นคุณค่าและการใช้สื่อและเทคโนโลยีอย่างถูกวิธีและมีประโยชน์สูงสุด 

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 2

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 2

เมื่อนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

1. ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เป็นอย่างไร อธิบาย

                ตอบ   ผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ นายปรีดี พนมยงค์  ซึ่งมีเหตุผลด้วยว่า ผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามถือเป็นฉบับแรกคณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยได้กล่าวไว้ว่าบัดนี้การศึกษาสูงขึ้นแล้ว มีข้าราชการประกอบด้วยวุฒิปรีชาในรัฐาภิปาลนโยบายสามารถนาประเทศของตน ในอันที่จะก้าวหน้าไปสู่สากลอารยธรรมแห่งโลกโดยสวัสดี สมควรแล้วที่จะพระราชทานพระบรมวโรกาส ให้ข้าราชการและประชาชนของพระองค์ ได้มีส่วนมีเสียงตามความเห็นดีเห็นชอบในการจรรโลงประเทศสยามให้วัฒนาการในภายภาคหน้า

2. แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2492 ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย
               
ตอบ  ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา 
บุคคลต่างๆย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการศึกษาอบรม เมื่อการศึกษาอบรมนั้นไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรมและไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรสถานศึกษา สถานศึกษาของรัฐและของเทศบาล ต้องให้ความเสมอภาคแก่บุคคลในการเข้ารับการศึกษาอบรมตามความสามารถของบุคคลนั้น ๆ

3. เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2511 พุทธศักราช 2517 และ พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
                ตอบ   มีความแตกต่างกัน คือ 
บุคคลต่างๆย่อมมีเสรีภาพสมบูรณ์เกี่ยวกับการศึกษา เมื่อการศึกษาอบรมนั่นไม่เป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรม และไม่ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรสถานศึกษา

4. ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 25492-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
               
ตอบ   มีความแตกต่างกัน คือ 
การศึกษาเริ่มเป็นระบบมากขึ้น มีหน่วยงานของรัฐบาลให้ความช่วยเหลือในการศึกษาทั้งในเรื่องของ ทุนการศึกษา  และมีการบังคับให้ศึกษาตามระบบมีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาที่แน่นอน และมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจในการศึกษา

5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
                ตอบ  มีความแตกต่างกัน คือ รัฐพึงส่งเสริมการศึกษาและบำรุงการศึกษาอบรม  การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ แต่ในปี                               

6. เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง อธิบาย
               
ตอบ  เพราะการศึกษามีพัฒนาเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่เสรีภาพอย่างเป็นระบบ การศึกษาอบรม ให้กับเด็กและเยาวชนให้เป็นผู้มีความสมบรูณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรมจริยธรรม โดยมีแนวทางในการจัดการศึกษา รัฐจะต้องจัดการศึกษาและสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรมให้เกิดความรู้คู่คุณธรรม

7. เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนดบุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติจงอธิบาย หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
               
ตอบ  เพราะรัฐบาลต้องกำหนดให้บุคคลที่มีการศึกษาเพราะการศึกษาเป็นความรู้ที่จะสามารถนำตัวเราไปสู่อนาคตที่ดีได้


8. การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหากเราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และถ้าเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย
               
ตอบ จะต้องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา เพราะจะได้นำทรัพยากรทางท้องถิ่นมาพัฒนาสังคมด้วย 


9. เหตุใดการจัดการศึกษา รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย
               
ตอบ  เพราะรัฐจะต้องจัดการศึกษาคุ้มครองเด็กและเยาวชน เพื่อการศึกษาจะได้มีคุณภาพเท่าเทียบกั

10. ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

                       
ตอบ  รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่พัฒนาประเทศโดยการทำให้สังคมมีระเรียบ มีกฎเกณฑ์ ทำให้สังคมมีวินัยในการพัฒนาประเทศชาติทางด้านต่างๆอย่างง่ายดาย

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 1

แบบฝึกหัดทบทวน อนุทินที่ 1

คำสั่ง หลังจากนักศึกษาได้ศึกษาบทเรียนนี้แล้ว จงตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง

1. ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร
                ตอบ เพราะการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย สาเหตุมาจากความไม่พึงพอใจ มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกัน ถ้ามีการใช้กำลังกันบ่อยเข้าสังคมมนุษย์จึงไม่อาจดำรงอยู่ได้ ความมีเหตุผลเป็นพื้นฐานที่สังคมมนุษย์พัฒนาการจากสังคมเล็กที่สุด คือครอบครัว ไปสู่สังคมที่ใหญ่ที่สุดคือ รัฐ จึงทำให้มนุษย์สร้าง กฎเกณฑ์หรือกฎหมายขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการสร้างความสัมพันธ์เหล่านี้และสามารถเป็นแนวทางเพื่อควบคุมควบความประพฤติสมาชิกในสังคมรวมทั้งเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม หากไม่มีกฎหมายจะทำให้สังคมวุ่นวาย เกิดการไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย

2. ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร

                ตอบ สังคมจะอยู่ไม่ได้ เพราะกฎหมายคือคำสั่งและข้อห้ามซึ่งมนุษย์ต้องเคารพในความประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอันมาจากรัฏฐาธิปัตย์หรือหมู่มนุษย์ ซึ่งจะใช้บังคับและจำเป็นต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นสังคมจะมีแต่ความไม่เป็นระเบียบจะทำให้สังคมวุ่นวาย มีการขโมยกัน และอีกมากมายที่จะส่งผลเสียต่อสังคมเรา

3. ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้
                                ก. ความหมาย                 ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย
                                ค. ที่มาของกฎหมาย      ง. ประเภทของกฎหมาย
                ตอบ     ก. ความหมายของกฎหมาย คือ คำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิด จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน
                             . ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย คือ ประเด็นความหมายที่สรุปไว้ข้างต้น หากนำมาพิจารณาพอที่กำหนดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกฎหมายที่สำคัญคือ ประชาชนที่อยู่ร่วมกันในอาณาเขตเดียวกัน และมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง 
                               . ที่มาของกฎหมาย คือ ที่มาของกฎหมาย มีตาราบางแห่งใช้ว่าบ่อเกิดของกฎหมาย หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบที่กฎหมายแสดงออกมา สำหรับที่มาของกฎหมายในแต่ละประเทศมีที่มาแตกต่างกัน 
                               . ประเภทของกฎหมาย คือ ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแบ่งของแต่ละท่าน การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนาไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน หากเราจะพิจาณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่ แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายใน เป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น
                แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
                แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง
                แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
                แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนกฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ
               
4. ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย
                ตอบ เพราะกฎหมายเป็นบรรทัดฐานที่จะต้องปฏิบัติตาม เป็นสิ่งที่จะทำไมสังคมและประเทศเป็นระเบียบ เพื่อการพัฒนาที่เป็นไปโดยง่ายและสร้างวินัยให้กับสังคมทุกสังคม

5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย

                ตอบ สภาพบังคับในทางกฎหมายคือ สิ่งที่บุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทำและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้น ๆ กำหนดไว้ว่าหากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้


6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
                ตอบ  แตกต่างกัน คือ
สภาพบังคับในทางอาญา คือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทำผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับจำคุก กักขัง ริมทรัพย์ แต่หากเป็นคดีแพ่ง ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายหรือชำระหนี้ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามมูลหนี้ที่มีต่อกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เช่น บังคับใช้หนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย บังคับให้ผู้ขายส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขายเป็นต้น

7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย
                ตอบ  กฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีความสาคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสาคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน และการวินิจฉัยคดีผู้พิพากษาเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ ประเทศยุโรป เช่น อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศตะวันออก เช่น ไทย ญี่ปุ่น
                               
8. ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย
                ตอบ
ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทของกฎหมายไว้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ในการแบ่งของแต่ละท่าน การแบ่งประเภทกฎหมายที่จะนาไปใช้นั้นมีรูปแบบและลักษณะที่แตกต่างกัน หากเราจะพิจาณาแบ่งประเภทของกฎหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แบ่งได้หลายลักษณะขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นหลักในการแบ่ง ได้แก่
               
- แบ่งโดยแหล่งกำเนิด อาจแบ่งออกได้เป็นกฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก กฎหมายภายใน เป็นหลักในการแบ่งย่อยออกไปได้อีก เช่น
                -แบ่งโดยถือเนื้อหาเป็นหลัก เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษร
                -แบ่งโดยถือสภาพบังคับกฎหมายเป็นหลัก เป็นกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง
แบ่งโดยถือลักษณะเป็นหลัก แบ่งได้เป็น กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีสบัญญัติ
แบ่งโดยถือฐานะและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
                - กฎหมายภายนอก เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ  กฎหมายระหว่างประเทศแบ่งตามลักษณะของฐานะความสัมพันธ์ เช่น แบ่งเป็นกฎหมายประเภทแผนกคดีเมือง ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ส่วนที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐหนึ่งกับบุคคลในอีกรัฐหนึ่ง และกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยข้อตกลงระหว่างรัฐในการร่วมมืออย่างถ้อยทีถ้อยปฏิบัติในการปราบปรามอาชญาระหว่างประเทศและส่งตัวผู้ร้ายข้ามให้แก่กัน ซึ่งการแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่ว ๆไปดังนี้
                
9. ท่านเข้าใจถึงคาว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
                ตอบ  ศักดิ์ของกฎหมาย คือ การจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำนาจจากองค์กรที่แตกต่างกัน การจัดลำดับความสำคัญตามศักดิ์ของกฎหมาย (Hierarchy of laws) พอที่จะสรุปได้ดังนี้
                1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นกฎหมายหลักที่ให้หลักประกันแก่ประชาชน หากมีกฎหมายใดออกมาขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญมิได้ กฎหมายฉบับนั้นย่อมไม่มีผลใช้บังคับ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ยึดหลักในการปกครองและบริหารประเทศ ตอบสนองและสอดคล้องนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
                2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา ที่เป็นตัวแทนของประชาชน และพระมหากษัตริย์ได้ลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับเป็นกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ออกตามปกติธรรมดา ได้แก่ พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนายินยอมของรัฐสภา เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญรองลงมาจากรัฐธรรมนูญ หากเกี่ยวพันกันหลายเรื่อง ออกในรูปประมวลกฎหมายก็ได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายที่ดิน ประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น สาหรับประมวลกฎหมายเหล่านี้เมื่อร่างเสร็จจะต้องมีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายฉบับนั้น ๆ อีกครั้งหนึ่ง
                3. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และทรงตราขึ้นตามคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษ กรณีเร่งด่วนหรือภาวะฉุกเฉินในการรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง หรือรักษาผลประโยชน์ของประเทศ เมื่อตราแล้วจะต้องนาเสนอต่อรัฐสภาภายในระยะเวลาอันสั้น (2 หรือ 3 วัน) ถ้าสภาอนุมัติพระราชกำหนดก็กลายสภาพเป็นกฎหมายเสมือนพระราชบัญญัติ ถ้าไม่อนุมัติมีอันตกไปไม่มีผล
                4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ได้มอบอำนาจให้พระมหากษัตริย์ทรงออกกฎหมายในรูปพระบรมราชโอการได้ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ ให้พระราชอำนาจไว้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระราชกำหนด ใช้ในยามที่มีสถานะสงครามหรือในภาวะคับขัน อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และการใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภาอาจขัดข้องหรือไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
                5. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคาแนะนาของคณะรัฐมนตรีหรือเป็นกฎหมายอื่นที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย และ พระราชกฤษฎีกาจึงมีศักดิ์ต่ำกว่าพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด และประกาศพระบรมราชโองการ และจะขัดกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้ ยังมีพระราชกฤษฎีกาบางประเภทที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ เช่น พระราชกฤษฎีกาเปิดหรือปิดสมัยประชุมสภา พระราชกฤษฎีกายุบสภา มีความสำคัญมากกว่าพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
                6. กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดเป็นผู้ออก เพื่อให้การดาเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหลักในเรื่องนั้น ๆ เป็นการออกกฎกระทรวงโดยฝ่ายบริหาร เช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกา ต่างกับพระราชกฤษฎีกาตรงที่ว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าสำคัญรองลงมา ก็จะออกเป็นกฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกตามกฎหมายแม่บท นอกจากกฎกระทรวง หากจะกำหนดกฎเกณฑ์ในทางปฏิบัติ จะออกระเบียบ ข้อบังคับหรือประกาศ เพื่อความสะดวกในการบริหารงานได้อีกด้วย
                7. ข้อบัญญัติจังหวัด เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้อำนาจองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่มีอำนาจปกครองดูแล ให้บริการสาธารณะแก่ประชาชนในท้องถิ่นที่องค์กรนั้นบริหารรับผิดชอบ จึงให้อำนาจองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีอานาจออกข้อบัญญัติจังหวัดเพื่อจัดเรียบสังคมดูแลทุกข์สุขของประชาชน มีผลใช้บังคับเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดนั้น ๆ จะบังคับนอกพื้นที่จังหวัดมิได้
                8. เทศบัญญัติ เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติเทศบาล การแบ่งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็น 3 ระดับคือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ซึ่งอาศัยความหนาแน่นของประชากรตามที่พระราชบัญญัติกำหนด
               
10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทาร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือถูก
                ตอบ เป็นการกระทำที่ผิด เพราะ ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องสิทธิของตนเองกันทั้งนั้น แต่ถ้ารัฐบาลกระทำรุนแรงกับประชาชนแล้วสิทธิของประชาชนจะตั้งไว้เพื่อทำอะไร เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุอยู่แล้วว่า   หน้าที่ของประชาชน
                1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
                2. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
                3. บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิของตนเอง
                4. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ

11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
                ตอบ กฎหมายการศึกษา คือ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับกฎหรือคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐทีเกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหน่วยงานผู้มีอำนาจ ได้ตราขึ้นและมีผลบังคับใช้ ซึ่งมีความสำคัญต่อกฎหมายการศึกษา การจัดการศึกษามีการปฏิรูปให้สอดคล้องกับภาวะบ้านเมืองปัจจุบัน จึงได้นาบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ได้กำหนดให้ มีการตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และทาให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน ดังนั้นครูและบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายการศึกษาให้มากขึ้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.. 2546 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.. 2546 เป็นต้น เพื่อนาไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการศึกษาของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป

12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
                ตอบ กฎหมายทางการศึกษา เป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาที่จะทำให้คนมาเป็นครูได้นั้นจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ กฎหมาย ว่ามีอะไรบ้าง มีข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติอย่างไรทำให้เราได้เข้าใจและนำไปให้ทางการศึกษา การเรียนการสอน ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้กฎหมายทางการศึกษาจะทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การจัดการศึกษาอย่างไรที่จะต้องเป็นไป  เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข  และจะต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษานั้นต้องทำอย่างไร  สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่คนเป็นครูจะต้องทราบเพื่อจะได้ส่งเสริมกระบวนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียน ได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาก็จะทำให้เราไม่รู้ว่ากฎหมายต่างๆมีอะไรบ้าง  และไม่สามารถสอนนักเรียนได้ และไม่สามารถสอนให้นักเรียนเป็นคนดีได้

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การแนะนำตนเอง


ชื่อ         
          นางสาวชนิดาภา  รักษ์พงศ์  รหัส 5311101106


ประวัติการศึกษา
         
          - จบประถมศึกษาจากโรงเรียนวิทยานุเคราะห์
          - จบมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเสม็ดจวนวิทยาคม
          - จบมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน
เสม็ดจวนวิทยาคม         
           - ตอนนี้กำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา  ที่มหาวิทยาลับราชภัฏนครศรีธรรมราช
    คณะครุศาสตร์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย กลุ่มเรียน 03.


ประวัติครอบครัวย่อ ๆ
         
          - ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 95 หมู่ 6 ตำบลกุแหระ อำเภอทุ่งใหญ่
     จังหวัดนครศรีธรรมราช   82040
          - ครอบครัวของฉันมีด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี พ่อ แม่ น้องสาว และฉัน
          - บิดาชื่อสมศักดิ์  รักษ์พงศ์  อาชีพ ทำสวน
          - มารดามาลีวรรณ  รักษ์พงศ์  อาชีพ  ทำสวน
          - น้องชื่อนางสาวชฎาพร  รักษ์พงศ์ อาชีพ นักเรียน กำลังเรียนระดับ
    ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 


ปรัชญาในการดำรงชีวิต
       
           - ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ใฝ่ฝัน


เพิ่มภาพถ่ายหล่อ ๆ สวย ๆ